บริษัทรับทำ SEO

10 วิธีเลือกบริษัทรับทำ SEO ให้เว็บไซต์และธุรกิจคุณเติบโตมากขึ้น

SEO (Search Engine Optimization) ถือเป็นหนึ่งในเทคนิคของการทำการตลาดออนไลน์ ที่จะเข้ามาช่วยทำให้และธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น ผ่านการทำให้เว็บไซต์คุณติดอันดับต้น ๆ ของหน้าแสดงผลการค้นหาในคีย์เวิร์ดที่ต้องการ

ซึ่งในปัจจุบันการทำ SEO ให้กับธุรกิจนั้นก็มีทางเลือกในการทำมากมาย เช่นการศึกษาหาความรู้และลงมือทำเอง หรือใช้บริการ “บริษัทรับทำ SEO” ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการทำ SEO เพื่อธุรกิจก็ทำได้เช่นกัน โดยวิธีแบบหลังกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในยุคนี้ เพราะช่วยให้การทำ SEO ของธุรกิจคุณได้ผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดเวลากว่าการลงมือทำเอง

แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มมองหาบริษัททำ SEO นั้นคุณควรต้องศึกษาเทคนิค 10 วิธีในการเลือกบริษัทรับทำ SEO ให้ธุรกิจได้ผลลัพธ์มากที่สุด เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการจ้างบริษัทรับทำ SEO รู้วิธีการทำ SEO ที่ถูกต้อง ป้องกันไม่ให้คุณถูกเอาเปรียบจากบริษัทรับทำSEO ที่ไม่หวังดี โดยทั้ง 10 วิธีที่ว่า มีรายละเอียดทั้งหมดดังนี้

  • อยากเริ่มต้นทำ SEO
  • ประโยชน์ของการทำ SEO

1. SEO คืออะไร ? 

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึง การปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับ Search Engine เช่น Google ผ่านการปรับแต่งเว็บไซต์ทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพที่ดี เป็นประโยชน์และมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการค้นหา ทั้งภายในและภายนอกได้แก่ On page, Off page ให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีที่สุด บนหน้าการแสดงผลการค้นหา (SERP) ในคำค้นหาของ Search Engine ตัวนั้น

เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ เพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้ในช่องทางออนไลน์ยุคปัจจุบัน

ซึ่งในการทำ SEO จะมีปัจจัยหลัก ๆ ในการทำคือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้คนค้นหามากที่สุด เช่น การสร้างคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณและต้องมีคีย์เวิร์ด (Keyword) แทรกอยู่ในคอนเทนต์เสมอ รวมทั้ง ปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ให้สามารถตอบคำถามที่ผู้ใช้งานค้นหาได้ดีที่สุด

ภาพจาก oniv

2. ทำไมการทำ SEO ถึงสำคัญกับธุรกิจคุณ ?

การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถขึ้นไปติดอันดับต้น ๆ ในหน้าแสดงผลการค้นหา และทำให้ผู้คนจะได้มีโอกาสเห็นเว็บไซต์และกดเข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้น

อ้างอิงจากสถิติของ smartinsights พบว่าพฤติกรรมตำแหน่งเว็บไซต์บนหน้าการแสดงผลการค้นหาของ Google ที่ได้ Organic CTR (จำนวนการคลิกแบบไม่ใช้โฆษณา) เยอะที่สุด ก็คือเว็บไซต์ที่ได้อันดับ 1 ยนหน้าการค้นหา ด้วยจำนวน 34.2% และรองลงมาคืออันดับ 2 ที่ 17.1% 

จะเห็นได้ชัดเลยว่าอันดับ 1-3 ของหน้าการค้นหาจะได้จำนวน Traffic เยอะที่สุด และตำแหน่งอื่น ๆ ในหน้าแรกจะรองลงมา ซึ่งแน่นอนว่าในหน้าการแสดงผลการค้นหาหน้าที่ 2 และถัดไป ก็จะมีจำนวน Traffic ที่ลดลงไปเรื่อย ๆ 

ภาพจาก smartinsight

เมื่อเว็บไซต์ของคุณได้มีการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพมากพอจนมีผู้ใช้งานกดเข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณเยอะขึ้น ก็จะไปดันให้ค่าที่เรียกว่า Organic Traffic หรือจำนวนผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ผ่าน Search Engine เพิ่มขึ้นและเมื่อเว็บไซต์ของคุณมียอด Organic Traffic ที่เยอะ เท่ากับโอกาสเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้าก็ทำได้ง่ายขึ้น 

ส่งผลให้การสร้างยอดขายให้กับธุรกิจของคุณก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง ดังนั้น SEO หรือการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับที่ดีที่สุดนั้น ก็ถือเป็นเทคนิคการทำการตลาดออนไลน์ที่สำคัญกับธุรกิจของคุณ

3. SEO ต่างจาก Google Ads อย่างไร ?

จริงอยู่ว่าการทำ SEO นั้นช่วยทำให้เว็บไซต์คุณติดอันดับต้น ๆ ของหน้าการค้นหาได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยระยะเวลาหลัก 3 เดือนขึ้นไปถึงจะเห็นผล ซึ่งถ้าหากคุณต้องการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ อย่างรวดเร็ว คุณสามารถใช้งาน Google Ads (หรือชื่อเดิมคือ Adwords) ซื้อพื้นที่อันดับบนหน้าการค้นหาได้

โดย Google Ads จะมีความแตกต่างจาก SEO ตรงที่ Google Ads คือการซื้อโฆษณาอันดับเว็บไซต์ในหน้าแสดงผลการค้นหาของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ บน Google (เรียกว่า Paid Search) แต่ในขณะที่SEO จะต้องอาศัยการปรับแต่งเว็บไซต์ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านไปเรื่อย ๆ โดยที่จะไม่มีเรื่องของค่าใช้จ่ายในการซื้อโฆษณาเข้ามาเกี่ยวข้อง

ส่วนพื้นที่การแสดงผลนั้นสำหรับเว็บไซต์ไหนที่ซื้อโฆษณา Google Ads เว็บไซต์ของคุณจะถูกแสดงผลบนส่วนบนสุดของหน้าการค้นหา เหนือกว่าเว็บไซต์ที่ทำ SEO โดยจะมีสัญลักษณ์ที่เขียนว่า Ad อยู่ด้านหน้ากำกับ

ภาพจาก kodsana

ซึ่งหากเปรียบเทียบแล้ว Google Ads จะเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มฐานลูกค้าอย่างรวดเร็ว มีงบประมาณสำหรับการทำโฆษณาเยอะ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าคุณจ่ายเงิน เว็บไซต์ของคุณก็จะหายไปจากหน้าส่วนบนสุดของหน้าการค้นหา แต่ SEO นั้นแม้จะใช้ระยะเวลาในการทำนานกว่า แต่เป็นวิธีที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้เว็บไซต์คุณยืนระยะ ติดอันดับได้เป็นเวลานาน (ถ้ามีการทำ SEO ที่ดีพอ) เหมาะกับการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนมากกว่า 

4. ประโยชน์ที่ SEO จะมอบให้กับธุรกิจของคุณ มีอะไรบ้าง ?

นอกจากการทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณ ติดอันดับการค้นหาอันดับต้น ๆ บนหน้าการแสดงผลของ Search Engine แล้ว เราลองมาดูประโยชน์แบบเต็ม ๆ ที่การทำ SEO จะช่วยธุรกิจคุณได้ ดังนี้

  • ช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ (Website Traffic) ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น
  • ช่วยให้ธุรกิจของคุณดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ที่ตรงกับผลิตภัณฑ์หรือคอนเทนต์ของแบรนด์ผ่านการเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสม
  • ช่วยให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทั่วประเทศ
  • ช่วยเพิ่ม Conversion Rate ในส่วนต่าง ๆ ที่ธุรกิจต้องการไม่ว่าจะเป็นยอดขาย ยอดลงทะเบียน ที่ทำการผ่านหน้าเว็บไซต์
  • ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ ช่วยให้แบรนด์ของคุณดูมีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เกี่ยวข้องมากขึ้น 
  • ช่วยประหยัดงบการตลาดหรืองบการทำโฆษณาได้ดีกว่ากลยุทธ์อื่น ๆ เพราะการทำ SEO แทบจะไม่มีเรื่องของงบประมาณมาเกี่ยวข้องเลย (ถ้าไม่ใช้เครื่องมือ)
  • ช่วยทำให้ธุรกิจสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว ตราบใดที่มีการทำ SEO ที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะธุรกิจจะได้กำไร/ยอดขายมากขึ้น สวนทางกับการทำ SEO ที่ไม่ใช้เงินเลย

5. ขั้นตอนการทำ SEO มีอะไรบ้าง ?

หลังจากที่คุณได้รู้ถึง ความหมาย ความสำคัญ และประโยชน์ของการทำ SEO ไปแล้ว ในการเริ่มเลือกบริษัทรับทำseo นั้น สิ่งต่อมาที่คุณควรรู้คือ ขั้นตอนการทำ SEO ขั้นพื้นฐาน ว่าในการเริ่มทำ SEO นั้นจะต้องใช้กระบวนการอะไรบ้าง เพื่อให้คุณได้รู้ถึงขั้นตอนการทำ SEO ที่ถูกต้อง ป้องกันการถูกหลอกจากบริษัทรับทำ SEO ที่ไม่มีคุณภาพ

โดยขั้นตอนของการทำ SEO ที่ถูกต้องนั้นจะมี 5 ขั้นตอน ดังนี้

  • Research Keyword 

Keyword Research คือสิ่งสำคัญของการเริ่มต้นทำ SEO เพราะเป็นวิธีในการหาคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ซึ่งคีย์เวิร์ดแต่ละคำที่คนค้นหานั้นจะส่งผลต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ และยอดขายของธุรกิจเราในอนาคต อีกทั้งช่วยทำให้คุณรู้ว่าผู้ใช้งานต้องการค้นหาสิ่งใดเพิ่มเติม นอกจาก Keyword ที่คุณคิดไว้ เพื่อที่คุณจะได้สร้างสรรค์คอนเทนต์บนเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์และดึงดูดกลุ่มคนเหล่านั้น 

อีกทั้งยังเป็นการเช็คการแข่งขันในการทำ SEO ได้ด้วย เพราะในกรณีที่ Keyword คำที่คุณคิดขึ้นมาตอนแรกมีการแข่งขันกันสูง มีหลายเว็บไซต์ต้องการแย่งกันขึ้นอันดับ 1 มีค่า Cost-Per-Click (CPC) สูง ถ้าคุณเป็นเว็บไซต์หรือธุรกิจใหม่ที่เพิ่งสร้างตัว โอกาสที่คุณติดอันดับดี ๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องยากหน่อย ที่จะไปแข้งขันกับเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO ที่ดีเป็นระยะเวลาที่นานกว่า

ดังนั้นคุณอาจจะลองทำ Keyword Research เพื่อหาไอเดียของคำค้นหาใหม่ (Keyword Ideas) ที่คุณคิดว่าน่าจะทำอันดับได้ดี เพื่อไปยึดอันดับต้น ๆ บนคำค้นหาอื่นที่เกี่ยวข้องก็ทำได้เช่นกัน

เช่น หากเว็บไซต์ของธุรกิจคุณเป็นเว็บไซต์ ขายจานญี่ปุ่น ซึ่งหากคุณไม่เคยมีการทำ Keyword Research คุณอาจคิดว่า Keyword ของเว็บไซต์ก็คือ “ขายจานญี่ปุ่น” แต่เมื่อคุณลองทำ Keyword Research ดูแล้วพบว่าคำค้นหา  “ขายจานญี่ปุ่น” มีการแข่งขันสูง เว็บไซต์คุณไม่ติดแม้กระทั่งหน้าแรก 

แต่ในขณะเดียวกันคุณพบว่า Keyword “ขายส่งจานญี่ปุ่นแท้” มี Cost-Per-Click (CPC) ไม่สูงมาก แต่มี Search Volume อยู่ในเกณฑ์ดี คุณก็อาจลองปรับแต่งเนื้อหาคอนเทนต์ในเว็บไซต์ใหม่ เพิ่ม Keyword ตัวใหม่อย่าง “ขายส่งจานญี่ปุ่นแท้” ลงไปมากขึ้น เพื่อเข้ายึดพื้นที่อันดับต้น ๆ ใน Keyword “ขายส่งจานญี่ปุ่นแท้” นั่นเอง

โดยคุณสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการทำ Keyword Research ได้เลย ซึ่งมีทั้งเครื่องมือแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่าย โดยประสิทธิภาพก็จะแตกต่างกันออกไป

  • Google Keyword Planner [FREE]
  • Ubersuggest [FREE]
  • SEMRush [เสียเงิน]
  • Ahrefs [เสียเงิน]
  • Moz [เสียเงิน]
  • Kwfinder.com [เสียเงิน]

สนใจเกี่ยวกับเครื่องมือการทำ Keyword Reseach ทั้งหมดแบบละเอียดได้ อ่านเพิ่มเติมจากลิงก์ได้ครับ

ภาพจาก wordstream

  •  Web Structure

Web Structure คือหนึ่งในกระบวนการทำ SEO ที่จะเกี่ยวข้องกับการปรับแต่งระบบการทำงานของระบบหลังบ้านเว็บไซต์ เช่น การวางโครงสร้างของเว็บไซต์ หรือรูปแบบเว็บไซต์ เพื่อให้ Google สามารถเข้าถึงโครงสร้าง (Structure) ของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้นและทำให้ Bot ของ Google จัดเก็บข้อมูลเพื่อไปเป็นผลการค้นหาได้ โดยนักการตลาดมักจะเรียกวิธีนี้ว่า “การทำ SEO เชิงเทคนิค หรือ Technical SEO”

โดยธุรกิจเจ้าใด ที่เพิ่งสร้างเว็บไซต์ใหม่ หรือยังไม่ได้มีเว็บไซต์เลยควรเริ่มให้ความสำคัญกับการสร้าง Web Structure ที่ดี เช่นการใช้งานระบบหลังบ้านที่มีคุณภาพที่เหมาะกับการทำ SEO อย่าง WordPress ที่มี PlugIn (เช่น Yoast SEO) ก็จะทำให้การทำ SEO ในส่วนนี้ของคุณง่ายขึ้น 

นอกจากนั้นการทำ Web Structure สำหรับการทำ SEO นั้นจะครอบคลุมไปจนถึงเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้ด้านการเขียนโค้ดหรือด้านโปรแกรมเมอร์เช่น HTML, Sitemap, Structured Data, Internal Linking, Meta Robots tag ด้วยดังนั้นถ้าธุรกิจใดที่คิดว่าไม่มีความพร้อมในด้านนี้ การมองหาบริษัทรับทำ SEO ก็ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด ที่เราอยากแนะนำ

ภาพจาก reachfirst

  • On-Page SEO

On-page SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์โดยอาศัยปัจจัยภายใน เป็นการปรับแต่งเนื้อหาคอนเทนต์ภายในหน้าเว็บไซต์ทั้งหน้าหลักและหน้าอื่น ๆ ให้สร้างความเข้าใจต่อ Search Engine และผู้ที่เข้ามาค้นหาคำตอบได้ เพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์สามารถทำอันดับแรก ๆ (หรืออันดับที่ดีที่สุด) ของหน้าการค้นหาในคำค้นหานั้น ๆ 

ซึ่งการทำ On-Page SEO ที่มีประสิทธิภาพจะต้องสามารถสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ใช้งานรวมถึง Algorithm หรือระบบการทำงานเบื้องหลังของ Google ที่จะเป็นตัวจัดอันดับเว็บไซต์ของการทำ SEO นั้น “เข้าใจ” ว่าเว็บไซต์ในแต่ละหน้านั้นเกี่ยวข้องกับอะไร

โดยวิธีการทำ On-Page SEO จะต้องอาศัยการปรับแต่งเว็บไซต์หลัก ๆ ดังนี้

  • การใส่ Keyword ของธุรกิจคุณลงไปการทำคอนเทนต์บนเว็บไซต์ให้ได้มากที่สุด (โดยที่ต้องสื่อสารรู้เรื่องด้วย)
  • การปรับแต่ง Title tags , Meta Description ให้ตรงกับ Keyword ของเว็บไซต์ธุรกิจคุณ 
  • ตั้งชื่อ URL เว็บไซต์รวมถึงแต่ละหน้าเว็บเพจ ให้ค้นหาง่าย เข้าใจง่ายที่สุด 
  • การทำรูปภาพและสื่ออื่น ๆ เข้าไปเพื่อเพิ่มคุณภาพของเว็บไซต์ ไม่ให้มีแต่ตัวหนังสือยาว ๆ  
  • การทำ Internal Links ให้เชื่อมลิงก์ไปยังหน้าเพจต่าง ๆ ของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้งานที่เข้ามายังเว็บไซต์ ไม่กดออกจากเว็บไซต์คุณเมื่อทำกิจกรรมอะไรบางอย่างเสร็จสิ้น
  • การใส่ HTML Tags (H1, H2, H3..) เพื่อจัดอันดับความสำคัญของเนื้อหาในหน้าเว็บเพจ โดยเฉพาะเนื้อหาที่เป็น Content จะช่วยให้ Algorithm ของ Google ลำดับความสำคัญได้

ในที่นี้ผมได้เขียนคู่มือการทำ On-page ด้วยตัวเองแบบเข้าใจง่าย อ่านเพิ่มเติมครับ

ภาพจาก seoclarity

  • Off-Page SEO

Off-Page SEO คือหนึ่งในขั้นตอนการทำ SEO ที่จะอาศัยการปรับแต่งเว็บไซต์โดยใช้ปัจจัยจากภายนอกเว็บไซต์ โดยวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของการทำ Off Page SEO คือ การทำ Backlink เชื่อมลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ๆ ส่งกลับมาหาเว็บของเรา

เช่นเว็บไซต์ A ได้มีการเขียนคอนเทนต์เกี่ยวกับการทำ Influencer Marketing ที่เนื้อหาส่วนหนึ่งเอามาจากเว็บไซต์ Nerd Optimize เว็บไซต์ A จึงให้เครดิตข้อมูลและแทรกลิงก์คอนเทนต์เรื่อง Influencer Marketing ของ Nerd Optimize ลงไปในเว็บตัวเอง ซึ่งในกรณีนี้เว็บ Nerd Optimize ก็ถือว่าได้ Backlink กลับมาหานั่นเอง

ในทาง SEO วิธีนี้จะช่วยให้ Algorithm ของ Google มองว่าเว็บไซต์คุณเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ มีผลต่อการจัดอันดับบนหน้าการค้นหา และยังทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักและมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นในสายตาของผู้ใช้งานด้วย

ภาพจาก travelpayouts

  • Report SEO 

Report SEO คือการวัดผลของภาพรวมการทำ SEO ที่ผ่านมาทั้งหมด ด้วยเครื่องมือเช่น Google Analytic, Google Search Console, Proranktracker เพื่อวัดผลประสิทธิภาพของการทำ SEO และปรับปรุงการทำ SEO เช็ค Metrics หรือค่าต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการทำ SEO และการเติบโตของธุรกิจคุณ เข่น Click, Page Views, Traffic, Conversion Rate เป็นต้น

แม้ขั้นตอนนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งเว็บไซต์โดยตรง แต่ขั้นตอนนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณได้รู้ว่า ตอนนี้การทำ SEO ของคุณเป็นอย่างไร มีสิ่งไหนต้องปรับปรุงหรือไม่ เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ ปรับแต่งแก้ไขการทำ SEO ของคุณในอนาคตหรือในโปรเจกต์ต่อ ๆ ไป 

ภาพจาก dashthis

6. วิธีเลือกบริษัทรับทำ SEO ควรพิจารณาจากอะไร ?

สำหรับใครที่กำลังมองหาบริษัทรับทำ SEO แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าในการพิจารณาบริษัทที่จะมารับทำ SEO ให้ธุรกิจของเรานั้นต้องพิจารณาจากหลักเกณฑ์อะไรบ้างหรือเราควรต้องรู้อะไรก่อน เราได้รวบรวมคำตอบมาให้คุณแล้ว ดังนี้

  • เลือกบริษัทรับทำ SEO จากผลลัพธ์ที่บริษัทนั้น ๆ ทำได้

ในการหาบริษัทรับทำ SEO คุณควรเช็กจากผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ของบริษัทนั้น ๆ ก่อนเสมอ ให้เช็คว่าบริษัทนั้น ๆ มีวิธีการทำ SEO คร่าว ๆ อย่างไร ตรงกับขั้นตอนการทำ SEO ที่ถูกต้องไหม บริษัทที่คุณเลือกเคยทำงานให้ธุรกิจเจ้าใดมาบ้างและมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร สร้างการเติบโตให้บริษัทที่มาจ้างได้มากน้อยแค่ไหน ถือเป็นปัจจัยแรกที่คุณจะต้องโฟกัสในการเลือกบริษัทรับทำ SEO 

  • บริษัทรับทำ SEO ต้องให้ความรู้ แนะนำแนวทางแก่คุณได้อย่างชัดเจน 

ในการหาบริษัทรับทำ SEO ที่ดีนั้น อีกหนึ่งเกณฑ์การพิจารณาก็คือเวลาที่คุณคุยหรือสอบถามข้อมูลด้านการทำ SEO นั้นเขาสามารถให้คำแนะนำแก่คุณได้อย่างถูกต้องหรือเปล่า ถ้าพวกเขาแนะนำวิธีผิด ๆ พูดถึงเทคนิคกลโกงอันดับของ Google ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่นการทำ SEO สายดำ, สายเทา ก็โบกมือลาบริษัทนั้นได้เลย

  • มีการทำ Report SEO ที่โฟกัสมากกว่าเรื่องอันดับ และมี Dashboard แบบ Real Time 

Report ของบริษัทรับทำ SEO ที่ดีจะต้องมีการสรุปผลด้าน Conversions (ยอดขาย), หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของธุรกิจให้ด้วย ไม่ใช่แค่ส่ง Report ด้านอันดับเว็บไซต์แต่เพียงอย่างเดียว และควรต้องมี Real-time Dashboard ให้ Account ลูกค้าในการติดตามผลการทำ SEO อย่างใกล้ชิดได้ตลอดเวลาแบบ Real Time 24 ชั่วโมง (ผ่าน Google Data Studio) จะเหมาะสำหรับธุรกิจในยุคที่มีการแข่งขันกันตลอดเวลามากกว่า Report แบบเดิม ๆ ที่รายงานผลเป็นหลักเดือน/สัปดาห์

  • มีสัญญาหรือข้อตกลงในการร่วมงานกันที่ชัดเจน

บริษัทรับทำ SEO ที่ดีนั้นควรต้องมีสัญญาจ้าง (Permission) ที่ระบุข้อตกลงในการทำงานที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน โดยในสัญญานั้นต้องระบุรายละเอียด ขอบเขต ในการทำงานทั้งหมดอย่างละเอียด รวมถึงลองค้นหาประวัติของบริษัทนั้น ๆ หรือลองเช็คภาพรวมของเว็บไซต์ดูว่ามีประวัติที่น่าเชื่อถือหรือไม่ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาตามมาภายหลัง 

แม้จะดูเป็นปัจจัยเล็ก ๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ชี้วัดว่าบริษัทรับทำ SEO เจ้าไหนมีปลอดภัยกับธุรกิจของคุณมากที่สุด 

7. ประเมินราคาของบริษัทรับทำ SEO อย่างไร ?

อีกหนึ่งปัจจัยในการพิจารณาบริษัทรับทำ SEO ที่เราอยากแยกออกมาให้คุณได้ทำความเข้าใจกันแบบเต็ม ๆ ก็คือเรื่องของ ราคาในการจ้างบริษัทรับทำ SEO

สำหรับราคาของการจ้างบริษัทรับทำ SEO นั้นจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของโปรเจ็กต์ที่คุณต้องการ, การแข่งขันของการทำ SEO ว่ามีความยากง่ายอย่างไร, ผลลัพธ์หรือชิ้นงานที่คุณต้องการได้ (คอนเทนต์ ภาพประกอบ ต่างๆ) และอื่น ๆ 

เรื่องนี้หลายคนมักเข้าใจผิดว่า ถ้าบริษัทหรือองค์กรใหญ่ ๆ มาจ้างทำ SEO ก็จะเจอราคาค่าบริการที่แพง จริงหรือ ? คำตอบคือ “ไม่ใช่” เพราะถึงแม้บริษัทหรือองค์กรคุณ จะเป็นขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ มีมูลค่าสูง แต่ถ้าบริษัทรับทำ SEO ได้ทำการประเมินแล้วพบว่า การแข่งขันของธุรกิจคุณค่อนข้างต่ำ หรือมีเว็บไซต์ที่แข็งแรงอยู่แล้วก็จะคิดราคาที่ไม่แพงมาก ส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 20,000 – 30,000 บาทในกรณีทั่วไป 

กลับกันถ้าบริษัทขนาดเล็ก, บริษัทขนาดกลางต้องการอัปเกรดเว็บไซต์ทำ SEO ใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้นหรือกรณีที่ไม่มีอะไร Materials อะไรในการทำ SEO เลย ต้องการให้บริษัทรับทำ SEO จัดการให้ทั้งหมด (ถือว่าเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่) ก็จะมีราคาค่าบริการที่แพงขึ้นมา จะอยู่ที่ 50,000 – 100,000 หรือสูงขึ้นไปอีก ขึ้นอยู่กับขอบเขตของงานที่ได้มีการว่าจ้างกัน

*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้อีกตามขนาดโปรเจ็กต์และการเปลี่ยนแปลงในอนาคต / ขึ้นอยู่กับการบริการของบริษัทรับทำ SEO เจ้านั้น ๆ ด้วย

8. ทำไมเราถึงไม่ควรเลือกบริษัทที่รับทำ SEO ด้วยเทคนิคสายดำ ?

SEO สายดำ (Black Hat) คือเทคนิคการทำ SEO แบบผิดวิธีเป็นเหมือนโกงระบบ Algorithm ของ Google ผ่านการหาช่องโหว่ของ Algorithm ในการไต่อันดับ ผ่านเทคนิคต่าง ๆ เช่น สร้างเว็บไซต์หลุมขึ้นมาเป็น Backlinks เยอะ ๆ เพื่อช่วยทำอันดับบน Google ให้ติดหน้าแรกเร็วที่สุด, ใช้โปรแกรมสปินบทความ หรือบางเจ้าก็ Duplicate บทความของเว็บไซต์ดัง ๆ ที่ติดอันดับ 1 มาทั้งหมดเลยก็มี

ที่ต้องบอกว่าเราไม่ควรเลือกบริษัทที่รับทำ SEO ด้วยเทคนิคสายดำนั้นก็เพราะว่า ปัจจุบัน Google รู้ทันกลโกงพวกนี้ทั้งหมด และทำการอัปเกรดระบบ Algorithm ให้ฉลาดขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก จริงอยู่ที่ในอดีตเทคนิคสายดำอาจได้ผล แต่ทันทีที่ Algorithm ตรวจพบความผิดปกติของเว็บไซต์ที่ทำ SEO สายดำเมื่อไร เว็บไซต์นั้นก็จะถูกลดอันดับทันที หรือขั้นเลวร้ายที่สุดอาจถูก Google แบนจากระบบ Search Engine ไปเลย 

ดังนั้นในการหาบริษัทรับทำ SEO ที่ดีควรมองหาบริษัทรับทำ SEO แบบสายขาวที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของ Google แม้ต้องใช้ระยะเวลาแต่มั่นใจได้ 100% เลยว่าผลลัพธ์ที่คุณได้จะมีความยั่งยืนกว่าและช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตในโลกออนไลน์ได้จริง

9. ระยะเวลาในการทำ SEO นานไหม ?

ในการทำ SEO ให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปเป็นร่างนั้นจะต้องใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือนเป็นอย่างต่ำ แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายปัจจัย เช่น จำนวนเว็บไซต์คู่แข่ง , ความยากง่ายของ Keyword มีการแข่งขันสูงไหม , ระบบหลังบ้านเชิงเทคนิคของเว็บไซต์ , อายุของเว็บไซต์, ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ หรืออื่น ๆ

ยิ่งถ้าคุณมีคู่แข่งเยอะ เลือก Keyword ที่มีการแข่งขันสูง มีเว็บไซต์ใหญ่ ๆ ยึดอันดับต้น ๆ อยู่แล้วก็ต้องใช้เวลาบวกเพิ่มเข้าไป (บางเจ้าเป็นปีเลยก็มี) กลับกันถ้าเป็น Keyword ที่มีการแข่งขันไม่สูงมาก ก็จะใช้เวลาที่น้อยลง แต่ Traffic หรือจำนวน Search Volume ที่ค้นหาก็อาจจะมีน้อยลงด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามหากธุรกิจคุณมีการจ้างบริษัทรับทำ SEO ที่มีประสบการณ์สูง มีความเชี่ยวชาญด้านการme SEO จริง ๆ ก็จะเข้ามาช่วยจัดการ Process หรือกระบวนการที่ต้องใช้ระยะเวลานานให้สั้นลงได้ เพราะบริษัทรับทำ SEO เหล่านั้นจะรู้วิธีในการปรับแต่งเว็บไซต์หรือทำอันดับให้เหมาะกับการแข่งขันจริงมากกว่า

ภาพจาก bowlerhat

10. ผลลัพธ์ของการทำ SEO จะคงอยู่ตลอดไปไหม ?

แม้คุณอาจทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับ 1 หรืออันดับที่ดีที่สุดในหน้าการแสดงผลการค้นหา ของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ได้แล้ว แต่อันดับเว็บไซต์บนหน้าการแสดงผลการค้นหาที่คุณภาคภูมิใจนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามการอัปเดต Google Algorithm ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ 

ซึ่งในการอัปเดตแต่ละครั้งจะส่งผลต่ออันดับของเว็บไซต์ทั้งหมดตลอด บางเดือนเว็บไซต์คุณอาจติดอันดับ 1 แต่ในเดือนถัดมา อาจหล่นไปอยู่ที่ 2-3 หรือต่ำกว่านั้นเลยก็เป็นได้ ในกรณีที่คู่แข่งของคุณมีการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

“เพราะการทำ SEO คือการแข่งขันตลอดเวลา” ดังนั้นการทำ SEO นั้นถือเป็นเทคนิคที่เราต้องปรับปรุงอยู่เสมอ ถ้าเว็บไซต์คุณติดอันดับ 1 หรืออันดับที่ดีที่่สดในหน้าการค้นหาแล้ว  ไม่ได้หมายความว่าคุณเข้าเส้นชัย แต่คุณต้องวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ ต่างหาก 

แต่ถ้าคุณถ้าคุณไม่ได้มีเวลาในการโฟกัสกับการทำ SEO ตลอด แนะนำให้ลองมองหาบริษัทรับทำ SEO เพื่อปรึกษาถึงขั้นตอนในการยืนระยะบนหน้าการค้นหาให้นานที่สุด ก็ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณที่สุดและอาจได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าก็เป็นได้ 

——————————————————————————————–

Similar Posts