จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ Facebook ปรับการเห็นยอด Like “ลดลง”
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Facebook คือผู้นำกระแสและเทรนของการ “กดLike ” แต่วันนี้ทิศทางของเฟสบุ๊คจะเปลี่ยนไปเมื่อ Facebook ต้องการที่จะลดการให้ความสำคัญยอด Like ลง เรามาดูกันว่าเพราะอะไร
สาเหตุที่ Facebook ปรับเปลี่ยนอัลกอริทึม
มีอยู่ 2 เหตุการณ์ที่ผมมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ยืนยันการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เหตุการณ์แรกมาจากข่าวของ Mission World News Report (หาฟังได้ตามพอดแคสต์) ที่ได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของ Facebook ที่จะมีการเริ่มให้ความสำคัญกับยอดไลน์ลดลง เพราะเป็นที่ทราบกันดีกว่าในยุคสมัยของการกดLike ทำให้เกิดปัญหาของอาการซึมเศร้า ความสุขที่น้อยลงเมื่อเราโฟกัสที่ยอดLike เมื่อทีมงานเห็นปัญหานี้จึงได้มีการเริ่มปรับเปลี่ยนอัลกอรึทึมมากขึ้น
เหตุการณ์ที่สอง Facebook มีการซ่อนยอดLikeแฟนเพจ ในช่วงเดือนตุลาคมปี 2016 มาแล้ว ซึ่งเป็นการทดสอบ A/B Testing ของอัลกอริทึมใหม่ๆของ Facebook
Facebook มีการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมบ่อยแค่ไหน
เมื่อเดือนมิถุนายน 2019 ดร.ต้า-วิโรจน์ จิรพัฒนกุล อดีต Data Scientist ของเฟซบุ๊ก และ CEO ของ Skooldio
ในสมัยนั้น ดร.ต้าทำงานเคยทำงานกับ Facebook ในส่วนของโปรเจคหน้า News Feed ได้พูดถึงไว้ในพอดแคส ว่า “Facebook มีโปรเจคต่างๆที่กำลังรันอยู่ในทุกนาที ดังนั้นอัลกอริทึมของ Facebook เปลี่ยนแปลงทุกเวลา” ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากมีการทดสอบในเรื่องของลดยอดไลน์มาจนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้
ในปัจจุบันได้มีการปรับให้เห็นยอดLike ในรูปแบบของ “คำอุปสรรค” (ถึงกับไปหาข้อมูล บอกตรงๆตอนแรกก็ไม่รู้เรียกอะไร) อย่างเช่น 1,000 ไลน์ = 1 พัน ไลน์ , 10,000 = 1 หมื่น , 22,400 = 2.2 หมื่น และจากเมื่อก่อนอย่างเช่น ยอดไลน์ 123,456 จะกลายเป็น 1.2 แสน โดยจะนำทศนิยมหนึ่งหลักมาใช้ เพื่อให้เห็นตัวเลขยิบย่อยน้อยลง
อนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น
เรื่องนี้ไม่ได้มีการยืนยันออกมาอย่างชัดเจน แต่เราอาจจะเห็นหน้าLikeที่ลดลง อาจจะถึงขนาดที่ไม่เห็นยอด Like เลยก็เป็นได้ แต่เชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้นอย่างทันที แต่จะใช้วิธีการค่อยๆเปลี่ยนแปลงจนทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไปอย่างแน่นอน
ปรับเปลี่ยนทิศทางการตลาด เน้นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
เมื่อ Facebook ให้ความสำคัญกับ Like ที่ลดลง นักการตลาดควรให้ความสำคัญกับ Contend ที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อที่จะได้ยอด Reach และ Share แถมเมื่อนำไปใช้โฆษณา จะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ค่าโฆษณาถูกลงอีกตังหาก
สรุป
การปรับครั้งนี้มีทั้งผลดีและผลเสีย ผมลองจินตนาการว่าหากอนาคตโลกของเราไม่มีการ Like กันเกิดขึ้น ความสุขของเราคงจะโฟกัสที่ปัจจุบันและสิ่งรอบข้างได้มากขึ้น (จบแบบหล่อๆไปอีก)